ศาลาธรรมร่มเกล้า
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก    |  
 

แผนการของพระเจ้าทรงให้ เราเกิดผล 

ยอห์น   15:1-8

             พระเจ้าทรง เป็นผู้ออกแบบที่วิเศษที่สุด  เราสามารถมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้พระองค์ทรงนำมาเติมแต่ง   เช่น   ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดวงดาวและดาวเคราะห์ในจักรวาล   ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนเข็มนาฬิกาขนาดมหึมาที่รักษาเวลา    ดังนั้นจึงศึกษาถึงวิทยาศาสตร์   ดาราศาสตร์     ซึ่งสามารถบอกเวลาเราได้อย่างเที่ยงตรง    แน่นอน    เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ตกในแต่ละวัน  จากนี้ไปอีกหนึ่งร้อยปี เขาทั้งหลายสามารถที่จะรู้เวลาล่วงหน้า ที่ยาวไกลแน่นอนได้อย่างไร?      นั่นเป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงออกแบบแผนการเวลาอย่างสมบูรณ์ 

       เราสามารถมองเห็นแผนการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าได้ในบรรดาพืชผักต่าง ๆ มากมาย   ต้นไม้และดอกไม้   มันทั้งหลายสามารถที่จะผลิตผลจากตัวมันเองได้   พระองค์ทรงมีแผนการที่จะให้คริสเตียนอย่างเราได้เกิดผลฝ่ายจิตวิญญาณ   ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์มากกว่าแน่นอน    ผลที่ออกมาจากบรรดาพืชทั้งหลายไม่คงอยู่ได้นาน  แต่ผลของพระวิญญาณจะคงอยู่นานและคงทนอยู่ได้นานในแผ่นดินสวรรค์ 

1.แผนงานของพระเจ้าคืออะไร

        เราได้อ่านในยอห์นบทที่ 15  พบว่าพระเยซูเปรียบพระองค์เหมือนเถาองุ่น  เราทั้งหลายเป็นเหมือนแขนงที่ติดอยู่กับเถาองุ่น  เมื่อเราได้เปิดใจเชิญพระเยซูเข้ามาในชีวิต  และเป็นผู้ช่วยของเรา  เปาโลกล่าวไว้ใน 2  โครินธิ์ 5:17 ว่าเราจะเป็นคนใหม่ เราจะเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์  เป็นแขนงจากเถาองุ่น  และเมื่อเราได้เข้าสนิทอยู่ในพระเจ้าแล้ว  พระวิญญาณบริสุทธิ์  จะไหลจากพระองค์เข้าสู่ชีวิตของเรา  เช่นเดียวกับต้นไม้หรืเถาองุ่นที่ไหลไปสู่กิ่งก้าน  พระวิญญาบริสุทธิ์จะทำให้เราทั้งหลาย เกิดผลในด้านวิญญาณ เปาโลได้บอกเราในกาลาเทีย 5;22-23 ที่ได้อ่านในบทที่หนึ่ง พระเยซูได้ชี้ให้เราเห็นในยอห์น บทที่ 15 ว่าพระบิดาในสวรรค์เป็นผู้ดูแลสวน พระองค์เฝ้ามองดูเรา ทำให้เราสะอาด พระองค์ดูแลและปกป้องเรา ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะเกิดผลมาก นี่เป็นแผนการของพระสำหรับคริสเตียน อะไรเป็นสิ่งวิเศษและสำคัญที่เรายึดเหนี่ยว เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเป็นแขนง กิ่งของเราถูกทาบกับเถาองุ่นแห่งสวรรค์คือพระเยซูคริสต์เจ้า

2.เราต้องพร้อมสำหรับการเข้าในแผนการของ พระเจ้า

       ตามที่เราได้อ่าน พระเยซูได้เตือนเราว่าเรายังต้องดำเนินชีวิตในพระองค์ตลอดไป แขนงที่แยกออกจากต้นไม้ก็ไม่สามารถที่จะเกิดผล พระเยซูคริสต์ได้ตรัสในข้อที่ 5 ว่า “เราเป็นเถาองุ่นท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขาผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” และพระองค์ตรัสไว้ในข้อที่ 6 “ถ้าผู้ใดมิเข้าสนิทอยู่ในเราผู้นั้นก็จะตองถูกตัดทิ้งเสีย เหมือนแขนงแล้วก็เหี่ยวแห้งไปและถูกเก็บเอาไปเผาไฟ”

        เราเห็นสมาชิกหลายคนที่เป็นสมาชิกแต่ในนาม เขาก็เหี่ยวแหงไป เขาไม่ได้อยู่ในพระเจ้าวันต่อวันเพราะเขาได้แยกออกจากพระองค์ น้ำแห่งวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้หล่อเลี้ยงวิญญาณของเขา เขาไม่สนใจเรื่องทรัพย์สิ่งซึ่งทำให้พระเยซูคริสต์เจ้าเสียพระทัย และเขาดื้อรั้น จิตวิญญาณของเขาไม่เกิดผล พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดาและยึดมั่นในความรกของ พระองค์” (ยอห์น 15;10)หากเราไม่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราก็ไม่สามารถจะเป็นคริสเตียนที่เกิดผลได้

3.จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเราไม่พร้อมในแผน การของพระเจ้า

          มีพระคัมภีร์หลายตอนที่เตือนเราไม่ให้ละทิ้งความพร้อมในแผนการของพระเจ้ามี ไว้สำหรับชีวิตของเรา ประการแรกให้เราดูพันธสัญญาเดิมในสดุดี 80:8-13 ซึ่งบอกว่าประชาชนของพระเจ้านั้นเป็นเหมือนกับเถาองุ่นที่เปล่าประโยชน์ มีแต่ความแห้งแล้งเพราะว่าเขาทั้งหลายไม่เชื่อฟังพระองค์ ในอิสยาห์ 5:4 พระเจ้าได้ตรัสถาม “มีอะไรอีกที่จะทำได้เพื่อสวนองุ่นของเรา ซึ่งเรายังไม่ได้ทำให้ ก็เมื่อเรามุ่งหวังว่ามันจะบังเกิดเป็นลูกองุ่นไฉนมันจึงเกิดลูกเถาเปรี้ยว” ลูกหลานของอิสราเอลคือผลผลิตที่เป็นองุ่นเปรี้ยว เพราะว่าประชาชนไม่ยอมรับพระบัญญัติของพระเจ้าไม่เชื่อฟังพระองค์ ผลองุ่นเปรี้ยวทั้งหลายเป็นการพรรณนาของพระเจ้าเกี่ยวกับทางแห่งความบาปของ เขาทั้งหลาย

          พระเจ้าได้ตรัสกับอิสราเอลและตรัสในพระธรรมเยเรมีย์ 2:21 “แต่เราได้ปลูกเจ้าไว้เป็นเถาองุ่นอย่างดี เป็นพันธุ์แท้ทั้งนั้น แล้วทำไมเจ้าเสื่อมทรามลงจนกลายเป็นเถาองุ่นเปรี้ยวได้” เกิดอะไรขึ้นกับคนที่เป็นคริสเตียนแต่ชื่อ แต่เขาไม่พร้อมในแผนการของพระเจ้า เขาทั้งหลายเกิดผลชนิดที่ผิด “เน่าเปื่อย ไม่มีค่า” ผลนั้นเป็นผลที่ไม่มีคุณภาพ มันเป็นชนิดของผลที่เปาโลได้กล่าวไว้ในกาลาเทีย 5:20-21 การทะเลาะวิวาท ริษยา การโกรธ การเห็นแก่ตัว การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การล่วงประเวณี การเมาเหล้า และสิ่งอื่นๆ ที่เป็นของชั่วร้าย ในกิจการบทที่ 5 เราได้อ่านเกี่ยวกับสมาชิกคริสตจักรสองคนที่เป็นผลของความชั่วร้าย เขาโกหกหลอกลวงพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเขาทั้งสองได้ตายลงในการทำงานของคริสตจักร เขาสัญญากับพระเจ้าอย่างแน่นอนในเรื่องจำนวนเงิน แต่เขาได้เก็บส่วนหนึ่งไว้ที่เขา เราได้อ่านถึงคนที่ชื่อเดมาสที่เขาหลงรักการงานของโลกอย่างมากมายและได้ทิ้ง การงานของพระเจ้าที่เขาได้กระทำ (2  ทิโมที 4:10)

          เราได้เห็นอย่างนั้นแล้วว่าแผนการของพระเจ้านั้นวิเศษมหัศจรรย์สำหรับชีวิต ของคนเราที่เกิดผลทางด้านจิตวิญญาณ แต่เราต้อง(มีชีวิต)ในพระเยซูคริสต์ทุกๆวันโดยการเชื่อฟัง รักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้าที่ได้ทรงให้แก่เรา ถ้าเราแยกออกจากทางของพระองค์เราก็จะเหี่ยวแห้งหรือออกผลเป็นผลอื่น เราได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงพระพิโรธต่อประชาชน สมัยพันธสัญญาเดิมแล้ว หรือเราก็รู้แล้วที่เปาโลได้บอกเราในข้อพระคัมภีร์ข้างต้น   

ทำอย่างไรแขนงจึงจะ เกิดผล

เอเสเคียล 36:24-30

     ในบทที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของพระเจ้าที่ทำให้เราสามารถที่จะเกิดผลทางฝ่าย จิตวิญญาณ เราทำได้อย่างหนึ่งว่าเมื่อเรายังคงอยู่ในพระคริสต์เราก็สามารถผลิตผลออกมา ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไหลจากพระเจ้าเข้าสู่ชีวิตของเรา เหมือนกับที่น้ำเลี้ยงจากลำต้นไหลไปสู่กิ่งก้านแขนงของมัน ในบทนี้เราจะได้เห็นว่าแขนงจะต้องทำอย่างไรในพระเยซูเจ้าเถาองุ่นแห่งสวรรค์

     ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหลจากพระเยซูเข้าสู่ชีวิตของเรา เราจะได้รับธรรมชาติของพระเยซูคริสต์ กิ่งก้านของต้นไม้จะเหมือนดั่งที่เปาโลได้เขียนไว้ในพระวจนะว่า“ท่านจงมี น้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่ท่านมีในพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี2:5) ในหนึ่งโครินธ์2:16 ท่านได้เขียนไว้อีกว่า “เราก็มีพระทัยของพระคริสต์”เปาโลได้แนะนำให้คริสเตียนที่กรุงโรมไม่ให้ ปฏิบัติตามอย่างโลกนี้ แต่ให้เอาพระคริสต์เข้ามาไว้ในจิตใจ โดยเปลี่ยนแปลงจิตใจให้สมบูรณ์ และเมื่อนั้นเขาทั้งหลายก็สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้ และรู้ว่าอะไรดีอะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม (โรม12:2)

     เพราะว่ามีความบาปครั้งแรกที่บรรพบุรุษของเราได้ทำไว้ที่สวนเอเดน เมื่อเราเกิดมาในโลก เราก็ไม่เหมือนหรือไม่มีธรรมชาติของพระเยซูคริสต์แล้ว สดุดี15:5 “ดูเถิดข้าพเจ้ากำเนิดมาในความผิดบาปและมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในความบาป” และในพระธรรมโรม3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” เราจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรที่จะมีธรรมชาติเหมือนกับพระเยซู เราเห็นธรรมชาติบาปของเราตั้งแต่เกิดมาแล้ว เราจะทำอย่างไรที่แขนงจะมีลักษณะเหมือนกับเถาคือพระเยซู

เราต้องเปลี่ยน แปลง

     พระเยซูได้บอกนิโคเดมัสในยอห์น3:7ว่า “อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านทั้งหลายให้กลับใจใหม่” นิโคเดมัสคิดว่าเขาต้องกลับไปเป็นทารกอีกครั้งหนึ่ง เขาคิดว่าความหมายของพระเยซูคือให้เข้าสู่ครรภ์มารดาแล้วเกิดมาอีกครั้งแต่ พระเยซูไม่ได้หมายถึงเด็กที่เกิดมาจากมารดา แต่หมายถึงมีพระวิญญาณอยู่ในชีวิตของเขา เมื่อร่างกายของเราเต็มไปด้วยความบาป สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ร่างกายล้มเหลว แต่มันมีผลต่อความบาปผิดของวิญญาณหรือธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเราโดยใช้ร่าง กายของเรา ดังนั้นพระเยซูจึงได้บอกนิโคเดมัสในข้อที่6ว่า “ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังและซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็น วิญญาณ” นี่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ให้เราบังเกิดใหม่ และให้พระวิญญาณใหม่แก่เรา

เราจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร

     ทูตสวรรค์มาบอกกับโย เซฟเรื่องมารีย์จะตั้งครรภ์โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์และว่า “จงเรียกนามของท่านว่าเยซู เพราะว่าท่านจะเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา ” (มัทธิว1:21) พระเยซูคริสต์จะช่วยชนชาติให้พ้นจากความผิดบาปได้อย่างไร? พระองค์จะแปลงเป็นผู้ชายและผู้หญิงและบอกถึงธรรมชาติของพระองค์ได้อย่างไร

     ในวิวรณ์3:20 “นี่แนะเรายืนเคาะประตูถ้าผู้ใดได้ยินเสียงและเปิดประตูเราจะเข้าไปหาผู้ นั้น และจะรับประท่านอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง เมื่อพระเยซูต้องการเข้ามาในจิตใจของเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์และอยู่ ที่นั่น พระองค์ทรงให้จิตวิญญาณใหม่แก่เราซึ่งมาแทนที่วิญญาณเก่าของเราที่เต็มไป ด้วยความบาป

     พระเจ้าได้บอกกับเราในการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในเอเสเคียล36:26-27ว่า “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า...และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้าและกระทำให้เรา เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเราและให้รักษากฎหมายของเราและกระทำตาม”เปาโลได้ อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เมื่อพระเยซูเข้ามาในชีวิตของเราว่า “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไปนี่แนะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2โครินธ์5:17)

       เราเห็นแล้วว่าเรา เป็นแขนงของพระเยซูผู้เป็นเถาองุ่นแห่งสวรรค์และแขนงนั้นก็จะต้องมีธรรมชาติ ที่เหมือนกับต้น นั่นหมายความว่าเราต้องมีจิตใจแห่งพระคริสต์และพระวิญญาณอยู่ในเราเหมือนดัง ที่ท่านเปโตรได้เขียนใน2เปโตร1:14 “พระจึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เราเพื่อว่าด้วยเหตุ เหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์” 

       มันยังไม่เพียงพอเท่านั้น สมาชิกคริสตจักรถ้าหากต้องการที่จะเป็นแขนงที่ออกผลทางด้านจิตวิญญาณ เราต้องให้พระคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา และเมื่อนั้นพระองค์ก็จะผลิตผลผ่านทางชีวิตของเราโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของคุณแล้วหรือยัง คุณเปิดประตูแล้วพูดว่า“เชิญเข้ามาข้างใน เถิด”หรือยัง 

พระวิญญาณของพระเจ้าในแขนงที่เกิดผล

ยอห์น 3:1-15

       ในบทเรียนที่ผ่านมา เราได้เห็นว่าการเป็นคริสเตียนนั้นต้องเป็นแขนงที่เกิดผลอย่างเต็มล้นและ นั่นแสดงว่าแขนงต้องมีธรรมชาติของพระเยซูที่เป็นเถาองุ่น ซึ่งเราจะมีธรรมชาติของพระเยซูนั้นเราต้องบังเกิดใหม่ เราได้ศึกษาและอ่านเกี่ยวกับเรื่องการบังเกิดใหม่แล้วในพระคัมภีร์ เราจะบังเกิดใหม่เมื่อพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา พระคัมภีร์ได้ยืนยันว่าพระองค์จะเข้ามาในชีวิตของเราในหัวใจของเรา แต่ไม่ได้หมายถึงการที่จะมาสูบฉีดเลือดเข้าไปยังอวัยวะของเรา พระคัมภีร์ได้หมายถึงศูนย์กลางของความต้องการของเราที่ควบคุมความคิดที่เรา คิด คำพูดที่เราพูดและสิ่งที่เรากระทำ เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาพระวิญญาณของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของเรา ธรรมชาติของพระองค์ของพระองค์จะเข้ามาควบคุมความปรารถนา เราจึงเป็นคนที่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ (2โครินธ์5:17)

      ในบทนี้อยากให้เราทำสี่ประการที่จะตระเตรียมหัวใจของเราให้เป็นบ้านสำหรับ พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์เพื่อที่จะให้เราสามารถเป็นแขนงที่เกิดผลได้อย่าง เต็มล้น

1.เราต้องเสียใจกับความบาปของเรา

     เราได้เห็นจากพระคัมภีร์ในบทก่อนแล้วว่าเราเกิดมาเป็นคนบาปแล้ว เราได้ทำทุกอย่างในสิ่งที่เราไม่ควรทำ เราต้องเสียใจในสิ่งที่เราทำซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสียพระทัยเป็นอย่าง ยิ่ง 2โครินธ์ 7:8-11 เปาโลได้เขียนเกี่ยวกับการตัดสินใจหรือความโศกเศร้าอยู่สองชนิด บางคนเสียใจอย่างเดียวเพราะเขาได้รับผลร้ายของการถูกลงโทษ เปาโลเขียนว่า“ความเสียใจอย่างโลก”แต่ความเสียใจของเรา เราเสียใจกับพระเจ้าด้วยจริงใจ พระองค์ทรงรักเราอย่างมากมาย เปาโลเรียกการเสียใจนั้นว่า การเสียใจอย่างพระเจ้า การเสียใจแบบนั้นทำให้เราเกลียดชังความบาปและต้องการละทิ้งมันและรับเอาการ อภัยโทษบาป

2.เราต้องสารภาพบาปกับพระเจ้า

     ในพระธรรม1ยอห์น 1:9  ถ้าเราสารภาพบาปของเราพระองผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกความ ผิดบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น  หลายคนพยายามซ่อนความบาปของตัวเองไว้ คนหนึ่งเขาเป็นคนในแอฟริกา เมื่อเขาพบจุดของโรคเรื้อนบนหน้าอกของเขาแทนที่เขาจะไปหาหมอเพื่อทำการรักษา เขาได้ใช้ดอกไม้สลักลงไปที่จุดของโรคเรื้อนเพื่อที่จะซ่อนมันเอาไว้ เขารู้ว่าถ้าชาวบ้านในหมู่บ้านรู้ว่าเขาเป็นโรคเรื้อน ชาวบ้านจะต้องไล่เขาออกจากหมู่บ้าน เขาคิดว่าเขาจะปิดซ่อนโรคนี้ได้แต่ในเวลาไม่นานนักโรคเรื้อนก็ได้ลุกลามไป ที่ส่วนต่างๆของร่างกายรวมถึงใบหน้าด้วย เขาไม่สามารถที่จะซ่อนมันไว้ได้นานและเขาก็ป่วยหนักและข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า ในที่สุดเขาก็ตายด้วยความบาปเหมือนกับโรคเรื้อนที่สามารถที่จะปิดบังไว้ได้ ในเวลาอันสั้น แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า  บาปของเขาก็ตามทัน  (กดว.32:23)พระเยซูจะไม่ทรงอนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในชีวิตของคน ที่ปิดซ่อนความบาป

     เราคงจำศักเคียสได้เมื่อพระเยซูต้องการที่จะไปที่บ้านของเขา(ลก.19:1-9)ศัก เคียสสารภาพความบาปของเขากับพระเยซู พูดว่า  ดูเถิดพระเจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถากึ่งหนึ่งและถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์จะยอมคืนให้เขาสี่เท่า  ศักเคียสได้เสียใจจริงๆกับความบาปที่เขาได้กระทำและพระเยซูทรงยกโทษบาปให้ กับเขา พระองค์ตรัสว่า  วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวเจ้าแล้ว  พระเยซูไม่ได้รอจนกระทั่งศักเคียสเห็นว่าประชาชนทั้งหลายมองเขาว่าเป็นคนผิด ทันใดนั้นเขาก็กลับใจและได้รับการอภัยจากพระเจ้า

     เมื่อเราสารภาพบาปของเรากับพระเจ้าและเล่าถึงความถูกต้องกับสารภาพความผิด ที่เรามีพระเจ้าจะทรงยกโทษให้กับเรา อย่างไรก็ตาม เราจะได้รับการอภัยทางเดียวเพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ตายบนไม้กางเขนและนำการ ถูกลงโทษของเราไป การสารภาพถึงความผิด การพูดที่ถูกต้องและอื่นๆ ไม่ไช่เป็นคุณความดีที่จะได้รับการอภัยโทษบาป เราทำได้อย่างเดียวเพราะว่าเราเสียใจอย่างพระเจ้าในใจของเราแม้ว่าเบื้อง หลังเราเป็นขโมยหรือเป็นยิ่งกว่าขโมยพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถลบรอยเปื้อน ความผิดบาปได้เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ตายเพื่อเรา

3.เราต้องออกจากความบาป

     มันไม่เพียงพอที่จะแค่เสียใจและสารภาพความผิดบาปของเราต่อพระเจ้าและเราก็ กลับไปกระทำบาปนั้นอีกในสุภาษิต18:13  บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและละทิ้งความชั่วเสียจะได้รับความกรุณา  บางคนไปนมัสการที่โบสถ์และสารภาพหนึ่งครั้งในสัปดาห์กับพระเจ้า แต่เมื่อเขากลับไปก็ทำอย่างเดิมอีกในหนึ่งสัปดาห์นั่นไม่ไช่เป็นการเสียใจ ต่อความบาปเพราะว่าเขาไม่ได้ละทิ้งความบาปทั้งหมดบางคนสารภาพบาปในเวลากลาง คืนแต่จริงๆแล้วเขาก็ไม่ต้องการที่จะออกจากความบาปแต่มีหนทาง คือเราต้องอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอพระเยซูตรัสว่าให้เราอธิษฐานว่า  และขอทรงโปรดยกความผิดของข้าพระองค์(มธ.6:12)เพราะว่าเรามีความสมบูรณ์เพียง เล็กน้อยแต่เป็นความแตกต่างจากที่เราจนเคยชินคือการเสียใจอย่างพระเจ้า  เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้  (โรม 6:14 )และยอห์นเขียนว่า  ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้าผู้นั้นไม่กระทำบาป  

4.เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าอภัยบาปของเราได้

      1ยอห์น 1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเราพระเจ้าจะทรงยกโทษความผิดบาปให้กับเรา  เหมือนสุภาษิต 28:13 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา เราจะพบกับความกรุณาของพระเจ้าและพระองค์จะทรงยกโทษความผิดบาปของเรา แต่พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์และเที่ยงแท้พระองค์ทรงยกโทษให้เราได้ อย่างไร พระองค์สามารถยกโทษให้เราได้เพราะว่าพระเยซูได้เข้ามาในโลกและได้รับโทษแทน เราทั้งๆที่โทษนั้นเราต่างหากที่สมควรจะได้รับ อิสยาห์ 53:4-6 พระองค์ได้รับความเจ็บปวดเพื่อเราและพระเจ้าได้ทำให้พระองค์ได้รับความทุกข์ ทรมานซึ่งเราควรได้รับและพระองค์ทรงถูกทำให้ต่ำต้อย

     พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ถ้าเราเสียใจกับความบาป สารภาพกับพระเจ้าและออกจากความบาปอย่างแท้จริงเราสามารถถามถึงการยกโทษจาก พระเจ้า พระเจ้าไม่ทำลายพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงรักเราอย่างมากมาย พระองค์ได้ส่งพระเยซูเพื่อช่วยชีวิตของเราทั้งหลายให้พ้นจากความบาป (มัทธิว 1:21)และยอห์นได้บอกกับเราว่า พระองค์ทรงมีพันธสัญญาและทรงยกโทษให้กับเรา เราต้องมีความเชื่อว่าพระองค์ยกโทษให้แก่เรา เมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ และนั่นเป็นเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาในชีวิตของเรา เมื่อเรามีความเชื่อจะป็นประสบการณ์ในชีวิตเรา เปาโลเขียนในโรม 8:16 ว่า พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตใจของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า   เรามั่นใจว่าบาปของเราได้รับการยกออกไปแล้วและไม่จดจำมันอีกต่อไป พระเจ้าจะพิสูจน์เราว่าเป็นคนชอบธรรมถ้าหากเราไม่ทำบาปอีกต่อไป เพราะว่าพระเยซุได้นำบาปของเราไปแล้ว 

พระวิญญาณของพระเจ้าในแขนงที่เกิดผล 

ยอห์น 3:1-15 

       ในบทเรียนที่ผ่านมา เราได้เห็นว่าการเป็นคริสเตียนนั้นต้องเป็นแขนงที่เกิดผลอย่างเต็มล้นและนั่นแสดงว่าแขนงต้องมีธรรมชาติของพระเยซูที่เป็นเถาองุ่น ซึ่งเราจะมีธรรมชาติของพระเยซูนั้นเราต้องบังเกิดใหม่ เราได้ศึกษาและอ่านเกี่ยวกับเรื่องการบังเกิดใหม่แล้วในพระคัมภีร์ เราจะบังเกิดใหม่เมื่อพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา พระคัมภีร์ได้ยืนยันว่าพระองค์จะเข้ามาในชีวิตของเราในหัวใจของเรา แต่ไม่ได้หมายถึงการที่จะมาสูบฉีดเลือดเข้าไปยังอวัยวะของเรา พระคัมภีร์ได้หมายถึงศูนย์กลางของความต้องการของเราที่ควบคุมความคิดที่เราคิด คำพูดที่เราพูดและสิ่งที่เรากระทำ เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาพระวิญญาณของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของเรา ธรรมชาติของพระองค์ของพระองค์จะเข้ามาควบคุมความปรารถนา เราจึงเป็นคนที่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ (2โครินธ์5:17)

      ในบทนี้อยากให้เราทำสี่ประการที่จะตระเตรียมหัวใจของเราให้เป็นบ้านสำหรับพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์เพื่อที่จะให้เราสามารถเป็นแขนงที่เกิดผลได้อย่างเต็มล้น

1.เราต้องเสียใจกับความบาปของเรา

     เราได้เห็นจากพระคัมภีร์ในบทก่อนแล้วว่าเราเกิดมาเป็นคนบาปแล้ว เราได้ทำทุกอย่างในสิ่งที่เราไม่ควรทำ เราต้องเสียใจในสิ่งที่เราทำซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง 2โครินธ์ 7:8-11 เปาโลได้เขียนเกี่ยวกับการตัดสินใจหรือความโศกเศร้าอยู่สองชนิด บางคนเสียใจอย่างเดียวเพราะเขาได้รับผลร้ายของการถูกลงโทษ เปาโลเขียนว่า“ความเสียใจอย่างโลก”แต่ความเสียใจของเรา เราเสียใจกับพระเจ้าด้วยจริงใจ พระองค์ทรงรักเราอย่างมากมาย เปาโลเรียกการเสียใจนั้นว่า การเสียใจอย่างพระเจ้า การเสียใจแบบนั้นทำให้เราเกลียดชังความบาปและต้องการละทิ้งมันและรับเอาการอภัยโทษบาป

2.เราต้องสารภาพบาปกับพระเจ้า

     ในพระธรรม1ยอห์น 1:9  ถ้าเราสารภาพบาปของเราพระองผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมก็จะทรงโปรดยกความผิดบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น  หลายคนพยายามซ่อนความบาปของตัวเองไว้ คนหนึ่งเขาเป็นคนในแอฟริกา เมื่อเขาพบจุดของโรคเรื้อนบนหน้าอกของเขาแทนที่เขาจะไปหาหมอเพื่อทำการรักษา เขาได้ใช้ดอกไม้สลักลงไปที่จุดของโรคเรื้อนเพื่อที่จะซ่อนมันเอาไว้ เขารู้ว่าถ้าชาวบ้านในหมู่บ้านรู้ว่าเขาเป็นโรคเรื้อน ชาวบ้านจะต้องไล่เขาออกจากหมู่บ้าน เขาคิดว่าเขาจะปิดซ่อนโรคนี้ได้แต่ในเวลาไม่นานนักโรคเรื้อนก็ได้ลุกลามไปที่ส่วนต่างๆของร่างกายรวมถึงใบหน้าด้วย เขาไม่สามารถที่จะซ่อนมันไว้ได้นานและเขาก็ป่วยหนักและข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าในที่สุดเขาก็ตายด้วยความบาปเหมือนกับโรคเรื้อนที่สามารถที่จะปิดบังไว้ได้ในเวลาอันสั้น แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า  บาปของเขาก็ตามทัน  (กดว.32:23)พระเยซูจะไม่ทรงอนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในชีวิตของคนที่ปิดซ่อนความบาป

     เราคงจำศักเคียสได้เมื่อพระเยซูต้องการที่จะไปที่บ้านของเขา(ลก.19:1-9)ศักเคียสสารภาพความบาปของเขากับพระเยซู พูดว่า  ดูเถิดพระเจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถากึ่งหนึ่งและถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์จะยอมคืนให้เขาสี่เท่า  ศักเคียสได้เสียใจจริงๆกับความบาปที่เขาได้กระทำและพระเยซูทรงยกโทษบาปให้กับเขา พระองค์ตรัสว่า  วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวเจ้าแล้ว  พระเยซูไม่ได้รอจนกระทั่งศักเคียสเห็นว่าประชาชนทั้งหลายมองเขาว่าเป็นคนผิด ทันใดนั้นเขาก็กลับใจและได้รับการอภัยจากพระเจ้า

     เมื่อเราสารภาพบาปของเรากับพระเจ้าและเล่าถึงความถูกต้องกับสารภาพความผิดที่เรามีพระเจ้าจะทรงยกโทษให้กับเรา อย่างไรก็ตาม เราจะได้รับการอภัยทางเดียวเพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ตายบนไม้กางเขนและนำการถูกลงโทษของเราไป การสารภาพถึงความผิด การพูดที่ถูกต้องและอื่นๆ ไม่ไช่เป็นคุณความดีที่จะได้รับการอภัยโทษบาป เราทำได้อย่างเดียวเพราะว่าเราเสียใจอย่างพระเจ้าในใจของเราแม้ว่าเบื้องหลังเราเป็นขโมยหรือเป็นยิ่งกว่าขโมยพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถลบรอยเปื้อน ความผิดบาปได้เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ตายเพื่อเรา

3.เราต้องออกจากความบาป

     มันไม่เพียงพอที่จะแค่เสียใจและสารภาพความผิดบาปของเราต่อพระเจ้าและเราก็กลับไปกระทำบาปนั้นอีกในสุภาษิต18:13  บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและละทิ้งความชั่วเสียจะได้รับความกรุณา  บางคนไปนมัสการที่โบสถ์และสารภาพหนึ่งครั้งในสัปดาห์กับพระเจ้า แต่เมื่อเขากลับไปก็ทำอย่างเดิมอีกในหนึ่งสัปดาห์นั่นไม่ไช่เป็นการเสียใจต่อความบาปเพราะว่าเขาไม่ได้ละทิ้งความบาปทั้งหมดบางคนสารภาพบาปในเวลากลางคืนแต่จริงๆแล้วเขาก็ไม่ต้องการที่จะออกจากความบาปแต่มีหนทาง คือเราต้องอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอพระเยซูตรัสว่าให้เราอธิษฐานว่า  และขอทรงโปรดยกความผิดของข้าพระองค์(มธ.6:12)เพราะว่าเรามีความสมบูรณ์เพียงเล็กน้อยแต่เป็นความแตกต่างจากที่เราจนเคยชินคือการเสียใจอย่างพระเจ้า  เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้  (โรม 6:14 )และยอห์นเขียนว่า  ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้าผู้นั้นไม่กระทำบาป  

4.เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าอภัยบาปของเราได้

      1ยอห์น 1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเราพระเจ้าจะทรงยกโทษความผิดบาปให้กับเรา  เหมือนสุภาษิต 28:13 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา เราจะพบกับความกรุณาของพระเจ้าและพระองค์จะทรงยกโทษความผิดบาปของเรา แต่พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์และเที่ยงแท้พระองค์ทรงยกโทษให้เราได้อย่างไร พระองค์สามารถยกโทษให้เราได้เพราะว่าพระเยซูได้เข้ามาในโลกและได้รับโทษแทนเราทั้งๆที่โทษนั้นเราต่างหากที่สมควรจะได้รับ อิสยาห์ 53:4-6 พระองค์ได้รับความเจ็บปวดเพื่อเราและพระเจ้าได้ทำให้พระองค์ได้รับความทุกข์ทรมานซึ่งเราควรได้รับและพระองค์ทรงถูกทำให้ต่ำต้อย

     พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ถ้าเราเสียใจกับความบาป สารภาพกับพระเจ้าและออกจากความบาปอย่างแท้จริงเราสามารถถามถึงการยกโทษจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ทำลายพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงรักเราอย่างมากมาย พระองค์ได้ส่งพระเยซูเพื่อช่วยชีวิตของเราทั้งหลายให้พ้นจากความบาป (มัทธิว 1:21)และยอห์นได้บอกกับเราว่า พระองค์ทรงมีพันธสัญญาและทรงยกโทษให้กับเรา เราต้องมีความเชื่อว่าพระองค์ยกโทษให้แก่เรา เมื่อเราร้องทูลต่อพระองค์ และนั่นเป็นเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาในชีวิตของเรา เมื่อเรามีความเชื่อจะป็นประสบการณ์ในชีวิตเรา เปาโลเขียนในโรม 8:16 ว่า พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตใจของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า   เรามั่นใจว่าบาปของเราได้รับการยกออกไปแล้วและไม่จดจำมันอีกต่อไป พระเจ้าจะพิสูจน์เราว่าเป็นคนชอบธรรมถ้าหากเราไม่ทำบาปอีกต่อไป เพราะว่าพระเยซุได้นำบาปของเราไปแล้ว

      จากสี่บทที่เราได้อ่านมานี้ เราเป็นแขนงของพระเยซูคริสต์และพระวิญญาณของพระองค์จะทำให้เราเกิดผลในชีวิตของเรา

                        อาเมน......................


Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 27,268 Today: 11 PageView/Month: 34

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...